วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประวัติวัดศรีมหาโพธิ์


ประวัติวัดศรีมหาโพธิ์                                                               
   วัดพระศรีมหาโพธิ์ ตั้งอยู่ที่บ้านหว้านใหญ่ ตำบลหว้านใหญ่ ภายในวัดจะมีโบราณสถานคือ สิมอีสาน(โบสถ์) ที่เก่าแก่ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2459 เป็นสิมที่ผนัง 3 ด้าน ภายในผนังจะมีธูปแต้มหรือ
จิตกรรมฝาผนังเรื่องราวของพระเวสสันดรชาดก และภาพเหตุการณ์ที่สมเด็จกรมพระยาดำรงเดชานุภาพ
เสด็จตรวจหัวเมืองในมณฑลอีสานประทับทั่งอยู่บนเกวียน      ภายในวัดยังมีกุฎิเก่าแก่ซึ่งปัจจุบันทำเป็นห้องสมุดประชาชน สร้างโดยช่างชาวเวียดนาม เป็นสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส ซึ่งมีซุ้มประตูและหน้าต่างเป็นรูปโค้ง สวยงามแปลกตา แต่งต่างจากศาลา
หารเปรียญทั่วไปของพุทธศาสนา


วัดศรีมหาโพธิ์
   วันที่ 13 พศจิกายน พ.ศ. 2549
ถึง วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2550 กรมศิลปกรได้ทำการ ปรับปรุง ซ่ิอมแซมขึ้นมาใหม่ ให้สวยงามเหมือนเดิม 

วัดศรีมหาโพธิ์ เป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชน ชาวอำเภอหว้านใหญ่ เป็นสถานที่ประกอบศาสนพิธีสำคัญ
และัประเพณีต่างๆของชาวอำเภอหว้านใหญ่
   บริเวณโดยรอบวัดศรีมหาโพธิ์ มองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของแม่น้ำโขงซึ่งเป็นเส้นกั้นพรมแดนระหว่าง
ประเทศไทย
 และ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในฤดูแล้งน้ำโขงบริเวณอำเภอหว้านใหญ่แห้งขอด
และจะเกิดเกาะแก่งเล็กน้อยขึ้นตามกลางลำแม่น้ำโขง ประชาชนทั้งสองฝั่งโขงทำไปทำการเกษตรตาม
เกาะแก่งนั้นเพราะ อุดมไปด้วยแร่ธาตุ ปุ๋ย ทำให้พืชผักเจริญเติบโตเร็วและสวยงาม นอกจากนี้ยังลำน้ำโขงยัง
เป็นแหล่งทำการประมงของชาวอำเภอหว้านใหญ่อีกด้วย 

วนอุทยานแห่งชาติ ภูหมู

วนอุทยานแห่งชาติ ภูหมู
วนอุทยานภูหมู อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร
อยู่ในทางหลวงหมายเลข 212 ถนนชยางกูร สายนิคมคำสร้อย เลิงนกทา   ห่างจากตัวอำเภอนิคมคำสร้อย
ประมาณ 6 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปอีก ประมาณ 12 กิโลเมตรเป็นภูเขาเล็กๆ มีความสูง ๓๕๓ เมตร เหนือระดับน้ำทะเล พื้นที่ราบบนยอดเขาประมาณ ๔ ตาราง กิโลเมตร หรือ ๒,๕๐๐ ไร่
เป็นหน้าผาให้ชมวิว ๓ จุด ในอดีตเป็นฐานมัพของทหาร อเมริกา เพราะภูหมูเป็นลักษณะภูมิศาสต์
รอบๆภูเป็นหน้าผาสูงชัน เป็นทำเลที่เหมาะในเชิงยุทธศาสตร์


วนอุทยาน ภูหมู 
 


     บนสันเขาเป็นพื้นที่ราบปกคลุมไปด้วยป่าไม้
นานาพันธุ์้ที่สมบูรณ์ ทางขึ้นเป็นถนน
ราดยางที่เก่าแก่พอสมควร
ข้างทางสองข้างปกคลุมไปด้วยต้นไม้มากมาย
นอกจากนี้ยังมีน้ำตกที่สวยงาม จะมีน้ำเฉพาะ
หน้าฝนเท่านั้น ทางเดินไปน้ำตกลัดเลาะคดเคี้ยว
เหมาะแก่การศึกษาพรรณไม้นานาชนิด
ทางลงน้ำตกเป็นหน้าผาที่สูงชัน ขึ้นงด้วยบันไดไม้
    อุทยานภูหมู เป็นขุดชมทิวทัศน์ที่สำคัญ
และสวยงามแห่งหนึ่งของอำเภอนิคมคำสร้อย
มองเห็นทั่งนา ไร่วสนของชาวบ้าน ไกลสุดลูกตา
ในช่างฟดูหนาว ลมจะพัดแรง และหนาวมาก


จุดชมวิวที่ ๑ อยู่ด้านตะวันออกของที่ทำการ สามารถมองเห็นภูถ้ำเม่น ภูไม้ซาง ภูแผงม้า และอ่างเก็บน้ำ
ห้วยขี้เหล็กได้อย่างชัดเจน
จุดชมวิวที่ ๒ อยู่ด้านทิศตะวันตก สามารถมองเห็นถนนทางขึ้นภูหมู ภูน้อย ภูติ้ว ภูโล้น ภูกะล่อน วัดภูด่านแต้ และเทือกเขาภูพานสลับซับซ้อน
จุดชมวิวที่ ๓ อยู่บริเวณยอดเขาด้านทิศใต้ สามารถมองเห็นภูถ้ำพระและอำเภอเลิงนกทา ในบริเวณนี้ยังมีร่มไม้ใหญ่และลานหินซึ่งเหมาะแก่การพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว โทร. (042) 619 076

ชนเผ่าในจังหวัดมุกดาหาร

แปดชนเผ่า มุกดาหาร
จังหวัดมุกดาหาร เป็นจังหวัดในภาคอีสาน เป็นจังหวัดลำดับที่ 73 ของประเทศไทยรัฐบาลได้ออก
พระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดมุกดาหาร พ.ศ. 2525 ยกฐานะอำเภอ มุกดาหารเป็นจังหวัด
ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2525 

       แต่ในอดีตเป็นเมืองชายแดนปลายพระราชอาณาเขตที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่จนจรดแดนญวน
ในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อปราบกบฏเจ้าอนุวงษ์ฯ กองทัพกรุงเทพฯ และกองทัพหัวเมือง แถบลุ่มแม่น้ำโขงได้ยกทัพข้ามโขงไปกวาดต้อนผู้คนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง(ดินแดนลาว)ให้อพยพข้ามโขงมาตั้งบ้านตั้งเมืองอยู่ทางฝั่งขวาของ แม่น้ำโขง(ภาคอีสาน) ให้มากที่สุดเพื่อมิให้เป็นกำลังแก่ข้าศึก จังหวัดชายแดน เช่นจังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร ฯลฯ จึงมีผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อ ร.ศ.112 ราชอาณาจักรไทยต้องเสียดินแดนทางฝั่งซ้ายทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง(ฝั่งลาว) ไปถึง 3 ใน 4ส่วนการรวบรวมเรื่องราวของกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดมุกดาหารซึ่งมีอยู่ถึง 8 กลุ่มชาติพันธุ์เพื่อย้อนอดีตให้ทราบถึงกลุ่มชาติพันธุ์ (ETHNIC GROUP) ก่อนที่จะมารวมกันเป็นจังหวัดมุกดาหาร

ไทยกุลา


ชาวกุลา
       คำว่า “กุลา” มาจากภาษาพม่าซึ่งแปลว่า คนต่างถิ่น กุลา คือพวกเงี้ยวหรือตองซู่ในรัฐไทยใหญ่ของพม่า เงี้ยวหรือตองซู่ เมื่อเดินทางมาค้าขายในภาคอีสานถูกชาวอีสานในอดีตเรียกขาน และตั้งชื่อให้ใหม่ว่าพวก “กุลา”คำว่า “กุลา” เดิมหมายถึง พวกแขกบังคล่า (บังคลาเทศ ในปัจจุบัน) ต่อมาเมื่อเห็นพวกไทยใหญ่


หรือเงี้ยวรูปร่างสูงใหญ่นุ่งกางเกงขายาว
ปลายบาน โพกศีรษะทรงสูงเข้ามาค้าขายใน
ภาคอีสานก็เลยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพวกเดียวกับ
พวกแขกบังคล่าจึงเรียกพวกไทยใหญ่หรือเงี้ยว
ว่ากุลา ต่อมาเมื่อเห็นพวกแขกขาวเช่นมาจาก
อาฟกานิสถาน อิหร่าน ฯลฯก็เลยเรียกว่า
พวกกุลาขาว และเรียกพวกมาจากบังคลาเทศ
จากอินเดีย และจากพม่าว่ากุลาดำพวกเงี้ยว
หรือกุลาชอบเร่ร่อนมาค้าขายใน
ภาคอีสานจนมีชื่อเป็น
ชาวไทยกุลา
   อนุสรณ์ว่าทุ่งกุลาร้องไห้ พวกกุลาชอบนำเอาผ้าแพรพรรณ หรือ เครื่องมือเครื่องใช้ในการดำรงชีวิต
ตลอดทั้งเครื่องทองเหลือง เช่น ฆ้อง มีด ดาบ ฯลฯ มาเร่ขายในภาคอีสาน แล้วซื้อวัว ควาย กลับไปพม่า กุลาบางพวก ได้ตั้งรกรากแต่งงานกับชาวไทยอีสานและผู้ไทย เช่น ที่เมืองเรณูนคร ตำบลแสนพัน อำเภอธาตุพนมและที่เมืองหนองสูง เขตเมืองมุกดาหาร จนมีบุตรหลานสืบเชื้อสายต่อมากุลาเหล่านี้ ี้ในอดีตมีสัญชาติ และอยู่ในบังคับในอดีตเรียกว่าอยู่ในสัปเยกต์ (SUBJECT-บังคับ)ของอังกฤษ เพราะพม่าเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เมื่อกุลาเกิดคดีความขึ้น ต้องรายงานให้สถานทูตอังกฤษทราบทุกครั้งกุลามีรูปร่างสูงใหญ่ชอบนุ่งโสร่งหรือกางเกงขายาวปลายบานถึงข้อเท้าและโพกศีรษะทรงสูงในสมัยรัชกาลที่ 5 กุลาหรือเงี้ยวนำฝิ่นมาค้าขายอยู่ในเขตเมืองหนองสูง เขตเมืองมุกดาหารเป็นจำนวนมากต่อมาได้ตั้งรกรากอยู่ที่ทุ่งหมากเฒ่า เมืองหนองสูง ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมาย บ้านเมือง และก่อการจลาจลขึ้นที่ทุ่งหมากเฒ่า เมืองหนองสูง ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมือง และก่อการจลาจลขึ้นที่ทุ่งหมากเฒ่า เมื่อ พ.ศ. 2446 ทางเมืองมุกดาหารต้องขอกำลังจากมณฑลอุดรมาช่วยปราบปราม เมื่อปราบปรามเสร็จแล้วจึงแยกย้ายพวกกุลาให้แยกกันออกไปตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตเมืองหนองสูง รวมทั้งในเขตอำเภอคำชะอี หลายหมู่บ้าน ส่วนบริเวณทุ่งหมากเฒ่า ต่อมาได้ตัดแบ่งเขตให้ไปอยู่ในเขตอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นเป็นหมู่บ้านขุมขี้ยาง ในปัจจุบัน

ไทยย้อ


ชาวย้อ
ไทยย้อเป็นชาวไทยในภาคอีสานอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมักเรียกตัวเองว่า ไทยย้อ เช่น ชาวย้อในจังหวัดสกลนคร , ชาวย้อ ในตำบลท่าขอนยาง(เมืองท่าขอนยาง) อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม , ชาวย้อ ในอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม และชาวย้อในตำบลดงเย็น อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร

ภาษาและสำเนียงของชาวย้ออาจผิดเพี้ยนไป
จากชาวอีสานทั่วไปบ้างเล็กน้อย ถิ่นฐานดั้งเดิม
ของชาวย้อ มีผู้ค้นพบว่าเดิมอยู่แคว้นสิบสอง
ปันนา หรือ ยูนาน ต่อมาชาวย้อบางพวกได
้อพยพลงมาตามลำน้ำโขง เพื่อเลือกหาที่ตั้ง
บ้านตั้งเมืองที่อุดมสมบรูณ์กว่า
ที่อยู่เดิมจนในที่สุดชาวย้อกลุ่มหนึ่งได้พบว่า
ตรงปากน้ำสงครามริมฝั่งโขงเป็นที่อุดมสมบรูณ์
มีปลาชุกชุม จึงได้จัดตั้งขึ้นเป็นเมืองไชยบุรี
เมื่อ พ.ศ.2350 (สมัยราชกาลที่ 1)
ชาวไทยย้อ
        ต่อมาเมื่อเจ้าอนุวงษ์เวียงจันทน์เป็นกบฏต่อกรุงเทพมหานคร เมื่อ พ.ศ. 2369 ไทยย้อเมืองไชยบุรีถูกกองทัพเจ้าอนุวงษ์เวียงจันทน์กวาดต้อนให้อพยพข้ามโขงไปด้วย โดยให้ไปตั้งอยู่ที่เมืองหลวงปุงเลง เมืองคำเกิด เมืองคำม่วน ในแขวงคำม่วน ของลาว ต่อมากองทัพไทย ได้กวาดต้อนให้ไทยย้อ ให้อพยพข้ามโขง กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไทยย้อกลุ่มหนึ่งตั้งขึ้นเป็นเมืองท่าอุเทน เมื่อ พ.ศ.2373 ให้ไทยย้อที่อพยพข้ามโขงมาตั้งที่บ้านท่าขอนยาง เป็นเมืองท่าขอนยาง ขึ้นเมืองกาฬสินธุ์ (ตำบลท่าขอนยาง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม)ให้ท้าวคำก้อนจากเมืองคำเกิดเป็นพระสุวรรณภักดี เจ้าเมืองท่าขอนยาง จึงมีไทยย้อ ที่ตำบลท่าขอนยาง บ้านกุดน้ำใส บ้านยาง บ้านลิ้นฟ้า บ้านโพน และยังมีไทยย้อที่บ้านนายุง จังหวัดอุดรธานี บ้านกุดนางแดง บ้านหนามแท่งอำเภอพรรณานิคม บ้านจำปา บ้านดอกนอ บ้านปุ่งเป้า บ้านนาสีนวน อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร บ้านโพนสิม บ้านหนองแวง บ้านสา อำเภอยางตลาด บ้านหนองไม้ตาย อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ไทยย้อเมืองสกลนคร อพยพมาจากเมืองมหาชัย (แขวงคำม่วนของลาว) มาตั้งอยู่ริมน้ำหนองหานสมัยรัชกาลที่ 3 ตั้งขึ้นเป็นเมืองสกลนครเมื่อ พ.ศ.2381(จากเอกสาร ร.3 จ.ศ.1200 เลขที่ 10 หอจดหมายเหตุแห่งชาติ)ในจังหวัดมุกดาหารมีไทยย้อที่อพยพมาจากเมืองคำม่วนตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลดงเย็น อำเภอเมืองมุกดาหาร และอยู่ในท้องที่อำเภอนิคมคำสร้อย
อีกหลายหมู่บ้าน