ชาวไทยกะโซ่
ถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวกะโซ่ อยู่ที่เมืองมหาชัย แขวงคำม่วน และแขวงสุวรรณเขตของประเทศลาว ส่วนข่าอีกพวกหนึ่งที่อพยพมาจากแขวงอัตปือของลาวไปอยู่ในจังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ เรียกว่า ส่วย หรือ กุยพูดภาษาเดียวกันกับพวกกะโซ่ พวกกะโซ่ที่อพยพข้ามแม่น้ำโขงมาในสมันรัชกาลที่ ๓ ได้ตั้งบ้าน ตั้งเมืองหลายเมือง คือ
๑. เมืองรามราช เป็นชาวกะโซ่จากเมืองเชียงฮ่ม ( อยู่ในแขวงสุวรรณเขตของลาว )ตั้งขึ้นเป็นเมืองรามราชขึ้นกับเมืองนครพนม เมื่อ พ.ศ.๒๓๘๗ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ท้าวบัวจากเมืองเชียงฮ่ม เปพระอุทัยประเทศ เจ้าเมือง ปัจจุบันยุบรวมเป็นตำบล รามราชขึ้นอำเภอท่าอุ้ทน จังหวัดนครพนม
๒ เมืองกุสุมาลย์มณฑล เป็นชาวกะโซ่ที่อพยพมาจากเมืองมหาชัย ( อยู่ในแขวงคำม่วนของลาว) อพยพมาตั้งอยู่ที่ บ้านกุดสมาร ตั้งขึ้นเป็นเมือง กุสุมาลย์มณฑล ขึ้นเมืองสกลนคร เมื่อ พ .ศ .๒๓๘๗ ทรงพระกรุณาปรดเกล้า ให้ตั้งเพี้ยเมืองสูง หัวหน้าชาวกะโซเป็น พระอรัญอาษา เจ้าเมือง ปัจจบันคือท้องที่ อำเภอ กุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร นอกจากนี้ยังมีชาวกะโซ่อยู่ในท้องที่ อำเภอปาปาก จังหวักนครพนมอีกเช่นที่ตำบลโคกสูง และที่บ้านวังตามัว เขตอำเภอเมืองนครพนม ในจังหวัดมุกดาหารมีชาวกะโซอยู่ในท้องที่อำเภอดงหลวง เป็นส่วนมาก อพยพเข้ามาในรัชกาลที่ ๒ เมื่อ พ.ศ ๒๓๕๙ หัวหน้าชาวกะโซ่ อำเภอดงหลวงต่อมาได้เป็นกำนันซึ่งบรรดาศักดิ์ว่า หลวงวาโนไพรพฤกษ์ ชาวกะโซในอำเภอดงหลวง ส่วนมาก จะใช้นามสกุลเดียวกันหมดคือ วงศ์กะโซ่ วัฒนธรรมของชาวกะโซ่ ที่ยังรักษาไว้เป็นเอกลักษณ์ประจำเชื้อชาติที่เด่นชัดก็คือ พิธีกรรมโซ่ถั่งบั้ง หรือสลา เป็นพิธีกรรมในการบวงสรวงดวงวิญญาณของบรรพบุรุษประจำปีหรือการเรียกขวัญรักษาคนเจ็บไข้ และพิธีกรรม ซางกระมูด ในงานศพ
พิธีกรรมของชาวกะโซ่
๑.พิธีกรรมโซ่ถั้งบั้ง เป็นพิธีกรรมของชาวกะโซ่ คำว่า โซ หมายถึงชาวกะโซ่ คำว่าถั่ง หมายถึง กระทุ้ง หรือกระแทก คำว่าบั้ง หมายถึง บ้องหรือกระบอกไม้ไผ่ โซ่ถั่งบั้งคือพิธีกรรมที่ใช้กระบอกไม้ไผ่ยาวประมาณ ๓ ปล้อง กระทังดินเป็นจังหวะ มีการร่ายรำและร้องรำ ไปตามจังหวะ ซึ่งเสด็จพระบรมวงษ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้เสด็จตรวจราชการภาคอีสาน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ เมื่อเสด็จถึงเมืองกุสุมาลย์ ( อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร ) ซึ่งเป็นชาวกะโซ่ได้ทรงบันทึกการแสดง โซ่ถั่งบั้ง หรือ สลา ในการรับเสด็จว่า “ ...สลามีหม้อดินตั้งกลางแล้ว มีคนต้นบทคนหนึ่ง คนสพายหน้าไม้และลูกสำหรับคนยิงคนหนึ่ง คนตีฆ้องเรียกว่า พะเนาะคนหนึ่ง คึนถือไม้ไผ่สามปล้องสำหรับกระทุ้งดินเป็นจังหวะสองคน คนถือชามสองมือสำหรับติดเทียนรำคนหนึ่ง คนถือตะแกรงขาดสองมือสำหรับรำคนหนึ่ง คนถือสิ่วหักสำหรับเคาะจัวหวะคนหนึ่ง รวม ๘ คน เดินร้องรำเป็นวงเวียนไปมาพอได้พักหนึ่งก็ดื่มอุและร้องรำต่อไป...”
๒.พิธีซางกระมูด เป็นพิธีกรรมของชาวกะโซ่ก่อนนำศพลงจากบ้านเรือน คำว่า ซาง หมายถึง การกระทำหรือจักดระเบียบ กระมูด แปลว่า ผี ซางกระมูดหมายถึงการจัดพิธีเกี่ยวกับคนตาย ชาวกะโซ่ถือว่าเมื่อ คนตายไปแล้วจะเป็นผีดิบ จึงต้องกระทำพิธีซางกะมูดเสียก่อนเพื่อให้ผีดิบหรือและวิญญาณของผผู้ตาย
ได้สงบสุข มิฉะนั้นอาจทำให้ญาติพี่น้องของผู้จายเจ็บป่วยได้อีก
อุปกรณ์ในพิธีซางกะมูด ประกอบไปด้วยขันโตก ( ขันกระหย่องสานด้วยไม้ไผ่ ) สองใบเป็นภาชนะ ใส่อุปกรณืต่างๆ มีไม้ไผ่สานเป็นรูปจักจั่น ๔ ตัว ( แทนวิญญาณของผู้ตาย ) นอกจากนั้นยังมีพานสำหรับยกครู ( คาย )ประกอบด้วยขันธ์ ห้าคือ เทียน ๕ คู่ ดอกไม้สีขาวเช่นดอกจำปา ( ลั่นทม) ๕ คู่ เหรียญเงิน ๑๒ บาท ไข่ไก่ดิบหนึ่งฟอง ดาบโบราณหนึ่งเล่ม ขันหมากหนึ่งขันมีดอกไม้อยู่ในขันหมาก ๑ คู่ เทียน ๑ คู่ เทียน ๑ คู่ พร้อมด้วยบุหรี่มวนด้วยใบตองและเทียนสำหรับจุดทำพิธี ๑ เล่ม ล่ามหรือหมอ ผีจะเป็นผู้กระทำพิธีและสอบถามวิญญาณของผู้ตาย เมื่อทราบความต้องการของวิญญาณของผู้ตายแล้วญาติก็จะจัดหาสิ่งของไว้บวงสรวงดวงวิญญาณ
๓.พิธีเหยา ในการักษาคนเจ็บป่วยหรือเรียกขวัญคล้ายกับพิธีกรรมของชาวไทยอีสานทั่วทั่วไปเพื่อเป็นกำลังใจแก่ผู้เจ็บป่วย โดยหมอผีจะทำหน้าที่ เป็นล่ามสอบวิญญาณของบรรพบุรุษได้กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดล่วงเกินไปหรือผิดจารีตประเพณีอย่างไรบ้าง
ชาวไทยกะโซ่มักมีผิวกายดำคล้ำ เช่นเดียวกับพวกข่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงบันทึกการแต่งกายของชาวกะโซ่ไว้ในหนังสือเรื่องเที่ยวที่ต่างๆ ๔ ภาค เมื่อ ๒๔๔๙ ไว้ว่า “...ผู้หญิงไว้ผมสูง นุ่งซิ่นสรวมเสื้อกระบอกย้อมคราม ห่มผ้าแถบ ผู้ชายแต่งกายอย่างคนเมือง แต่เดิมนุ่งผ้าเตี่ยวไว้ชายข้างหนึ่ง....”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น